“ก้าวไกล” ถอยสุดซอย หักหลังมวลชนลมใต้ปีก เข้าทาง “เพื่อไทย”
.
เสร็จพิธีกรรมหน้าฉากกันไปแล้ว ในการลงนามบันทึกข้อตกลง หรือ MOU ระหว่าง 8 พรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชาติ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย พรรคเป็นธรรม พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคเพื่อไทรวมพลัง
.
MOU ดังกล่าว เกิดความวุ่นวายขึ้นพอสมควร เพราะในวงประชุมลับระหว่าง 8 พรรคร่วมดังกล่าว มีอย่างน้อย 2-3 พรรคที่ต่างต้องการให้ “ตัด-เติม” เนื้อหาในร่าง MOU เดิมออก และเปลี่ยนถ้อยความใหม่
.
“ก้าวไกล” ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และพรรคอันดับ 1 มี ส.ส. 152 คน และคะแนนเสียงมหาชน (ป๊อปปูล่าร์โหวต) กว่า 14 ล้านเสียง ต้อง “ยอมถอย” คือ การเพิ่มถ้อยความ “ไม่แตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์” ตัดทิ้งท่อนที่เกี่ยวข้องกับ “นิรโทษกรรมคดีการเมือง” ออกไป
.
บรรยากาศการประชุมในการแก้ไขเติมแต่ง MOU ดังกล่าว เต็มไปด้วยความตึงเครียด เพราะมี 2-3 พรรคเห็นพ้องต้องกันว่าต้องเพิ่มความ ไม่แตะต้องสถาบันฯ และให้ตัดท่อนนิรโทษกรรมออก เนื่องจากทั้ง 2 เรื่องเป็นประเด็น “อ่อนไหว” และไม่อยากให้ “ทัวร์ลง” จนเกิดดราม่า และอาจนำไปสู่ “อุบัติเหตุทางการเมือง” เช่นเดียวกับกรณี “พรรคไทยรักษาชาติ”
.
โดยเฉพาะกรณี “นิรโทษกรรม” ที่หลายคนมองว่า หากเซ็น MOU เรื่องนี้ จะเอื้อประโยชน์ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ประกาศเตรียมกลับไทยช่วงเดือน ก.ค. 2566 รวมถึงผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันฯ หลายคนที่อาจได้รับประโยชน์ในส่วนนี้
.
“ก้าวไกล” พรรคน้องใหม่ที่ไม่เคยเป็นรัฐบาล ก็ยอมถอยแทบจะทุกอย่าง เพื่อหวังให้ได้ตัวเองได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลต่อไป โดยตอนนี้ขาดปัจจัยสำคัญแค่ “เสียง ส.ว.” ที่เจรจามาได้แล้วเกือบ 20 คน ขาดอีกกว่า 40 เสียง เพื่อส่ง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ขึ้นแท่นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
.
การยอม “กลืนเลือด” ของ “ก้าวไกล” ครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังบรรดา “แฟนคลับ-ด้อมส้ม” จำนวนมาก เพราะต้องไม่ลืมว่า คนเหล่านี้ที่เป็นฐานเสียง “พรรคสีส้ม” ล้วนเป็นเยาวชนคนรุ่นใหม่ แนวร่วม “3 นิ้ว” ที่ออกไปประท้วง ต้องการปฏิรูปสถาบันฯ นับตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา และมีหลายคนถูกจับกุมคุมขังดำเนินคดี ข้อหาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 คดีชุมนุมทางการเมือง และคดีอื่น ๆ
.
ดังนั้นการยอมถอยของ “ก้าวไกล” ย่อมทำให้กลุ่มมวลชนเหล่านี้ “เสียประโยชน์” และมองว่า “ก้าวไกล” ไม่ต่างอะไรกับ “เพื่อไทย” ที่ “สู้ไปกราบไป” ยอมละทิ้งจุดยืนตัวเอง เพื่อหวังเป็นรัฐบาลเท่านั้น
.
แม้ “พิธา” ออกมาประกาศว่า การแก้ไขมาตรา 112 และการนิรโทษกรรมคดีการเมือง จะเป็น “วาระเฉพาะ” ของพรรค หรืออีกนัยหนึ่งคือ “ก้าวไกล” จะลุยเดี่ยวยื่นเสนอกฎหมายเข้าสู่สภาฯ แต่แน่นอนว่า พรรคเดียว มีเสียง ส.ส.แค่ 152 คน ไม่ถึง 20% ของสภาฯ ย่อมไม่มีทางผ่านกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับนี้ได้แน่
.
กูรูการเมืองหลายคนจึงประเมินค่อนข้างตรงกันว่าการ “ถอยสุดซอย” เช่นนี้ เป็นเพียง “กลหมาก” ของ “ก้าวไกล” เพื่อหวังเข้าสู่อำนาจ จัดตั้งรัฐบาลเท่านั้น มองประชาชน หรือกลุ่มมวลชนที่โดนคดีมาตรา 112-คดีการเมืองเป็นเพียง “เบี้ย” เพื่อทำให้พวกเขาสมหวัง
.
สถานการณ์แบบนี้ทำเอา “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาฯอนาคตใหม่ ในฐานะกองเชียร์ก้าวไกล ถึงกับทนไม่ไหวต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งกรณีการเติมถ้อยความไม่แตะต้องสถาบันฯ และการตัดเนื้อหานิรโทษกรรมทิ้ง นอกจากนี้ยังกระทุ้งว่า “ก้าวไกล” จะถอยอะไรก็ได้ แต่หากจะทำแบบนี้ต้องเอาเก้าอี้ประธานสภาฯ มาให้ได้เท่านั้น โดยมีนัยว่า เพื่อให้การชงกฎหมายแก้มาตรา 112 และกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสภาฯ เป็นไปโดยง่าย
.
แต่การกระทุ้งของ “ปิยบุตร” กลับขยายรอยร้าวความขัดแย้งใน 8 พรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปอีก เพราะ “เพื่อไทย” ก็จ้องเก้าอี้ประธานสภาฯตามเป็นมัน โดยอ้างว่า เมื่อก้าวไกลอยากเป็นประมุขฝ่ายบริหาร ดังนั้นตำแหน่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องเป็นของ “เพื่อไทย” ที่เป็นพรรคลำดับ 2
.
การกระทำของ “ก้าวไกล” ที่เพิ่มความแตกแยกแบบนี้ ยิ่งสร้าง “แต้มต่อ” ให้ “เพื่อไทย” ในฐานะพรรคลำดับ 2 และมีพันธมิตรการเมืองจำนวนมาก
.
ดังนั้นหาก “ก้าวไกล” จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ “ตาอยู่” อย่าง “เพื่อไทย” เตรียมเอาไปกินแน่นอน ฟันธง!
///